วันจันทร์ที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

รีวิว รองเท้า Merrell Hiking Boot รุ่น Moab Mid-height GORE-TEX

           สวัสดีครับ วันนี้ผมจะมารีวิวรองเท้า Hiking ยี่ห้อ Merrell ซักรุ่นให้ชมกัน เป็นรุ่น Moab Mid-height GORE-TEX ด้วยเหตุที่แถวบ้านผมมีบูท Merrell อยู่ แต่ไม่มีรุ่นที่อยากได้ คำนวณดูแล้วค่ารถในการนั่งเข้ามาซื้อใน กทม กับสั่งจากต่างประเทศก็พอๆกัน ผมเลยไปหาสั่งจากอีเบย์เอา ไปเจอร้านหนึ่งขาย ราคาคู่ละประมาณ 3,900 บาท แต่ราคาในเว็ป Merrell จะอยู่ที่ 150 $ ครับ ส่วนราคาเต็มที่ช็อปในไทยน่าจะอยู่ที่ 6,500 บาทครับ ถ้าจำไม่ผิดอะนะ ตัวที่ผมรีวิวจะเป็นรุ่นแยกออกมาอีกคือรุ่น Wide Width ซึ่งจะมีขนาดด้านกว้าง กว้างกว่ารุ่น Regular ครับ ใครจะซื้อทางเน็ตต้องลองวัดขนาดเท้าดีๆครับ เพราะผมเคยซื้อรองเท้ายี่ห้อนี้ เบอร์เดียวกัน แต่ใส่แล้วไม่สบายเท้าเพราะมันคับทางด้านกว้างครับ



         สำหรับรุ่นนี้จะเป็นรองเท้า Hiking หุ้มข้อ น้ำหนักรวมสองข้างประมาณ 0.88 kg ตัวรองเท้าจะเป็นวัสดุ GORE-TEX ซึ่งมีคุณสมบัติกันน้ำและระบายอากาศได้ดีครับ หน้าฝนนี่ใส่ลุยน้ำได้สบายเลย ใส่ไปทำงาน ใส่เดินป่า ปีนเขาก็เวิร์คครับ แถมทหารอเมริกันยังใส่ไปลงสนามรบจริงๆ เป็นที่นิยมในหมู่ทหารหน่วยรบพิเศษด้วยครับ ส่วนตัวผมจึงคิดว่ารองเท้ายี่ห้อนี้คงจะทนทานในระดับที่ไว้ใจได้อยู่


ภาพประกอบจาก devtsix.com

เปิดกล่องมาเราก็จะเจอรองเท้านอนอยู่แบบนี้ครับ พร้อมกับกลิ่นรองเท้าใหม่ที่โชยออกมา มีป้ายแท็กให้มาครบเลย อันนี้เป็นสี Dark Tan ครับ



ยกออกมาดูกันครับ งานคุณภาพถือว่าดีเลยครับ ด้านนอกเป็นวัสดุ Dura leather คล้ายๆยางมีคุณสมบัติกันน้ำครับ ผสมกับส่วนที่เป็นผ้าไว้เป็นรูระบายอากาศครับ 


ป้าย GORE-TEX ยืนยันว่ารองเท้าคู่นี้ใช้วัสดุ GORE-TEX จริงๆนะ



ส่วนที่เป็นผ้าตาข่ายนั้นทำมาจากผ้าแบบพิเศษ  Aegis® ที่มีคุณสมบัติในการกำจัดจุลชีพทำให้ไม่มีกลิ่นอับ ลุยน้ำมาเอามาซักตากให้แห้งสองสามวันกลิ่นก็ไม่มีละ 


ในส่วนรองหูร้อยเชือกรองเท้า มีการทำให้สะท้อนแสงได้ครับ คงไว้สำหรับหารองเท้าในที่มืดๆหรือให้เห็นคนใส่ได้แต่ไกล 


หัวรองเท้าเป็นยางหุ้มไว้ครับ ปกป้องนิ้วเท้าจากการไปเดินเตะอะไรได้เป็นอย่างดี เดินเตะหินนี่แทบไม่รู้สึกเลยครับ


ด้านหลังก็เป็นวัสดุแบบเดียวกันครับ มีหูหิ้วให้ด้วย



พื้นรองเท้าเป็นแบบระบายอากาศได้ดี และสามารถดึงออกได้ครับ ใส่แล้วเหงื่อไม่ค่อยออกทีเท้าเลย อุณหภูมิในรองเท้าค่อนข้างคงที่ครับ 



มาดูกันที่พื้นรองเท้าต่อครับ จุดเด่นของ Merrell อีกอย่างคือการใช้พื้น Vibram ครับ ซึ่งทำด้วยวัสดุที่มีความทนทางและยืดหยุ่นสูงครับ ผมลองเปรียบเทียบรองเท้าคู่เก่ากับคู่ใหม่ สภาพพื้นรองเท้าต่างกันไม่เท่าไหร่เลยครับ ให้ความรู้สึกในการเดินอาจจะนุ่มน้อยกว่ารองเท้ากีฬาครับ 



พื้นรองเท้าเป็นดอกยางแบบนี้ครับ



 ให้การยึดเกาะดีครับ แต่ในบางครั้งก็ลื่นได้เหมือนกันครับ เช่นการไปเดินบนพื้นกระเบื้องที่เปียกน้ำ หรือถนนลาดยางที่มีน้ำอาจจะรู้สึกลื่นๆได้เหมือนกันครับ ไม่ค่อยมั่นใจเวลาเดินเท่าไหร่ แต่ถ้าเป็นเดินบนหินหรือดินนี่สบายเลย พื้นรองเท้าออกแบบมาสำหรับการใช้งานแบบนี้เลย เดินบนหินได้สบายเท้ามากๆ 

พื้นรองเท้าเปื้อนไปหน่อยนะครับ เพราะเอาไปลองใส่มาประมาณ 1 อาทิตย์แล้วค่อยถ่ายมารีวิวครับ 555








วันเสาร์ที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2558

ปั่นจักรยาน ท่องรอบนครวัด นครธม Cambodia Day 2

     กลับมาต่อกันเลยครับ กับการท่องนครวัดในวันที่ 2 ในวันนี้เราได้วางแผนกันไว้ว่า จะไปชมพระอาทิตย์ขึ้นที่นครวัดกันครับ ซึ่งผมได้อ่านรีวีวจากระทู้ในพันทิปมา เลยตั้งใจมาเพื่อสิ่งนี้เลยครับ จัดไป ตื่นมาตอน 4.30 น. ครับ อากาศเย็นๆไม่ค่อยหนาวเท่าไหร่ แต่ผมก็ใส่เสื้อกันหนาวไปเผื่อ (ก่อนจะรู้ว่าคิดผิดซะแล้ว) ตอนเช้าป้าเผือดและสามีก็ได้ขับรถคันจิ๋วคันเดิมออกมาส่งเราครับ จอดเดินไกลหน่อย เมื่อเข้าไปถึงนครวัด เราก็พบว่า มีกลุ่มนักท่องเที่ยวจำนวนมากได้มาถึงก่อนพวกเราและจับจองที่นั่งหน้าสุดไปหมดแล้ว ที่เราทำได้ก็เพียงแทรกตัวเข้าไปหาที่ว่างที่ยังจะพอมีอยู่ เข้าไปให้ใกล้สระน้ำให้มากที่สุด เพราะต้องการเก็บเงาพระอาทิตย์และนครวัดที่สะท้อนบนผืนน้ำให้ได้ครับ

คนเยอะมากโดยเฉพาะทัวร์จีน ผมก็พยายามหาที่ว่างวางขาตั้งกล้องไว้ซะหน่อย สบาย รอพระอาทิตย์ขึ้นอย่างเดียวละทีนี้

       หลังจากนั้นผมก็รอไปเรื่อยๆครับ ดวงอาทิตย์ก็ยังไม่โผล่มาซะที 6 โมงกว่าละ ก็ยังไม่มา ระหว่างนี้ผมก็ขยับขาตั้งกล้องเข้าไปเรื่องๆครับ เพราะบางคนก็เริ่มยอมแพ้ละ ถอยออกมา หวานสิครับ 555 และในที่สุดดวงอาทิตย์ก็เริ่มโผล่พ้นขอบฟ้าขึ้นมาแล้ว 


วินาทีนี้ สิ่งที่นักท่องเทีย่วทุกคนทำคือ ยกกล้องขึ้นมาและรัวชัตเตอร์เสียงลั่นไปหมด

      ทันทีที่ดวงอาทิตย์โผล่พ้นตัวปราสาทออกมา สิ่งที่ทุกคนทำคือยกกล้องที่ตัวเองถืออยู่รัวชัตเตอร์กันสนั่นไปหมด ผมก็รัวเช่นกัน ถ่ายมาเรื่อยๆครับ หลายๆมุมเผื่อไว้ จะเอาไปอัดกรอบประดับบ้านไว้ครับ 555 ว่าครั้งหนึ่งได้มาดูแล้วนะเนี่ย พระอาทิตย์ขึ้นที่นครวัด เหมือนที่ ท่านอาโนลด์ ทอยน์บี นักประวัติศาสตร์ชาวอังกฤษได้กล่าวไว้ว่า "See Angkor Wat and Die" มันสวยงามสมกับที่ตื่นมารอตั้งแต่ตีสี่จริงๆ มีบางช่วงที่ผมหยุดถ่ายภาพแล้วยืนซึมซับบรรยากาศเอาไว้ด้วย มัวแต่ถ่ายรูปเพลินเดี๋ยวพลาดบรรยากาศแล้วจะเสียดายทีหลัง 

   ผมก็ถ่ายมาไว้เยอะครับเผื่อเลือกเพราะคงไม่ได้มาเที่ยวบ่อยนักหรอก แนะนำว่าถ้าใครยังไม่เคยมาที่นี่ก็ให้ลองมาดูครับ มันรู้สึกดีนะ ได้เห็นภาพที่เราเคยเห็นตามนิตรสารท่องเที่ยว หนังสือ หรือโปสการ์ดมาอยู่ตรงหน้าเรา ฟินเลยทีเดียว สำหรับที่นครวัดในตอนเช้าผมใช้เวลาอยู่นานทีเดียวครับ จนกระทั่งพระอาทิตย์เริ่มลอยสูงขึ้น และแสงแดดมีความแรงขึ้นจนภาพเริ่มย้อนแสงมากขึ้นจึงหยุดครับ และด้วยความที่ผมและแม่ได้เห็นนักท่องเที่ยวเขาพากันปั่นจักรยานเที่ยวกัน ผมจึงอยากลองบ้าง ป้าเผือดก็เลยพาเราไปที่ร้านเช่าจักรยานที่อยู่ในตัวเมืองต่อ ปรากฏว่าได้เจ้าของร้านรู้จักกันกับป้าแก ก็เลยให้ยืมมาเฉยๆ ใจดีจัง ^_^ ขอบคุณแทบไม่ทันเลย
ภาพนี้เกือบดีแล้ว แต่ติดหัวนักท่องเที่ยวคนหนึ่ง T_T เสียดาย

ลองถ่ายแนวตั้งบ้าง หลบคนซะหน่อย

จะเห็นว่ามีนักท่องเที่ยวอยู่ทุกมุมเลยครับ ก็ไม่รู้ว่าเขาไปถ่ายอะไรกันตรงนั้นนะครับ 



เย้!! คนออกไปหมดแล้ว ได้เก็บภาพแบบเต็มๆซะที โชคดีจัง
ลองซูมเข้าไปอีกนิดก็ได้มุมที่ไม่เลวครับ แดดเริ่มแรงแล้วตอนนี้

                                                           คลิปสั้นๆ ตอนพระอาทิตย์ขึ้น

                                     

นักท่องเที่ยวที่มาช้าก็ต้องมาปักหลักมุมนี้แทนครับ เยอะมากๆ

ถ่ายภาพหมู่กับป้าเผือดและสามีแกหน่อย คุยกับแกแกบอกว่า อยู่มาตั้งนาน ไม่เคยมานครวัดตอนเช้าเลย เพิ่งรู้ว่าเขามีคนมาดูพระอาทิตย์ขึ้นแบบนี้ด้วย

ผู้เขียนขอภาพเดี่ยวซักรูป เยี่ยมครับ ต้องมาอีกแน่นอน



       หลังจากออกมาจากนครวัดและไปยืมจักรยานมาแล้วเรียบร้อย ลืมบอกไปครับว่าร้านจักรยานที่เราไปยืมมาจะอยู่ติดทางหลวงหมายเลข 6 ครับ ซึ่งเป็นถนนเส้นหลักผ่านกลางเมืองเลยครับ
ร้านจักรยานที่เราไปยืมมาครับ โซนนี้จะมีร้านเช้าจักรยานเยอะครับ ตามพิกัดไปเลย กดตรงนี้



       จากนั้นเราก็เริ่มปั่นไปหาแลกเงิน US ไว้ก่อนเลยครับ เพราะที่นี่จะใช้เงินดอลล่าเป็นหลักมากกว่าเงินเรียลของกัมพูชาเสียอีก เวลาถามราคาสินค้าอะไรส่วนใหญ่จะบอกหน่วยเป็นดอลล่าตลอด จะได้ไม่เสียเวลาคำนวนกันอีก ตอนนี้ความรู้สึกในการปั่นจักรยานเปลี่ยนไปแล้วครับ ดูฝรั่งปั่นก็เหมือนง่ายๆ พอลองมาปั่นเองต้องปั่นเลนขวา ต้องมาจูนสมองใหม่อีก เลี้ยวเข้าผิดเลนนี่ยุ่งเลยนะเนี่ย หลักจากปั่นออกจากร้านจักรยาน เราก็ปั่นตรงไปตามทางหลวงหมายเลข 6 ไปเรื่อยๆที่ เริ่มจะเข้าที่ละ ดูเหมือนที่รถยนต์ รถมเตอร์ไซค์ที่นี่จะค่อนข้างให้เกียรติรถจักรยานอยู่เหมือนกันครับ ค่อยยังชั่วหน่อย ปั่นๆไปเรื่อยๆระหว่างทางจะเจอกับศาลอะไรไม่รู้ครับ เห็นมีคนกัมพูชามาไหว้เยอะ แต่ผมไม่ได้หยุดเข้าไปดูครับ ขับผ่านไปเลยเพราะพยายามทำเวลากับการเที่ยวปราสาทก่อน เวลาเหลืออาจจะแวะเข้ามาดูครับ 

     สำหรับเส้นทางการปั่นไปยังทางเข้าของนครวัดหลังจากขับตรงมาเรื่อยๆแล้วถ้าเจอวงเวียนตรงนี้ แสดงว่ามาถูกทางแล้วครับ ให้ทำการวนขวาเพื่อเข้าวงเวียน ย้ำนะครับ วนขวาครับ อย่าไปวนซ้ายนะ 555 แล้วเลี้ยวซ้ายไปทางถนน Charles De Gaulle ก็คือเส้นในรูปนี่แหละครับ ตรงไปเลย ปั่นตรงไปเรื่อยๆเลย ประมาณ 2.8 กิโลเมตร เราจะเจอที่ขายตั๋วเข้าชมนครวัดครับ หากใครยังไม่ได้ซื้อก็แวะซื้อได้เลยครับ ถึงซื้อมาแล้ว คนตรวจตั๋วก็โบกเราอยู่ดีครับ เพราะเขากลัวว่าถ้าเราปั่นไปโดยยังไม่ซื้อตั๋วจะเป็นการไปโดยเสียเที่ยวครับ เพราะจะเข้าชมอะไรไม่ได้เลย ซื้อซองใส่สำหรับใส่บัตรไว้ห้อยคอด้วยก็ดีครับจะได้ไม่ต้องควักออกมาโชว์ให้ยุ่งยาก สำหรับผม ผมซื้อตั๋วเข้าชมแบบ 1 วัน ราคา 20 ดอลล่า ครับ
 เพราะกะจะเที่ยวแค่วันเดียวครับ ซึ่งต่อมาผมคิดว่าผมตัดสินใจถูกแล้ว

พิกัดวงเวียน คลิก


ตั๋วเข้าชมนครวัดแบบ 1 วัน ราคา 20 ดอลล่า พร้อมซองใสกันน้ำ จะมีรูปเราติดอยู่ด้วยเลย

สำหรับระยะทางคร่าวๆจากวงเวียนจุดเริ่มต้นของเราไปจนถึงนครวัดจะมีระยะทางประมาณ 6.4 กิโลเมตรครับ ปั่นไปเรื่อยๆ ไม่ต้องรีบครับ ถนนในเมืองทำดีมากครับ ปั่นสนุก ตอนเช้าๆอากาศไม่ค่อยร้อนเท่าไหร่ แต่ผมซึ่งใส่เสื้อกันหนาวมาด้วยนี่ไม่ไหวครับ ต้องถอดเก็บ ควรเตรียมน้ำดื่มหรือของกินมาด้วยก็ดีครับ เพราะระหว่างทางจะหาซื้อยาก และแพงกว่าในเมืองมากครับ ผมเจอโค้กกระป๋องละ 1 เหรียญครับ 

เส้นทางจากถนน Charles De Gaulle ไปสู่นครวัด
ปั่นจักรยานไม่ต้องกลัวเหงาครับ มีเพื่อนร่วมทางตลอดทาง

หรือใครขี้เกียจปั่นก็นั่งรถสามล้อรับจ้างเอาครับ สบายๆ อยากจอดถ่ายรูปตรงไหนก็บอกคนขับได้เลย

ขอถ่ายกับป้าย Welcome หน่อย ว่ามาถึงแล้ว 


โดยจุดหมายแรกของเรานั้นไม่ใช่นครวัดครับแต่เป็นปราสาทตาพรหมอันโด่งดังไม่แพ้กัน เมื่อมาถึงทางสามแยกข้างหน้าหากเลี้ยวซ้ายไปอีก 1.4 กิโลเมตรก็จะถึงนครวัดในเวลาไม่นานครับ 
ผมจึงเลี้ยวขวาเพื่อไปสู่ปราสาทตาพรหมแทนครับ
3 แยก เลี้ยวซ้ายจะไปโผล่ที่หน้านครวัด เลี้ยวขวาเป็นเส้นทางไปปราสาทตาพรหมและปราสาทอื่นๆ


หลังจากเลี้ยวขวาไปเจอสามแยกที่สระสรง (Srah Srang)เราก็หลงทางครับ เพราะว่าโทรศัพท์ที่ใช้ซิม 3G ของกัมพูชาดันไม่มีสัญญาณในนครวัดเอาดื้อๆ (ซะงั้น) ปั่นไปเจอ 3 แยกอีก 
เราก็เลยติดสินใจว่าเลี้ยวขวา น่าจะไปถึงปราสาทตาพรหมได้ 

สามแยกเจ้าปัญหา

แล้วหลักกิโลก็ไม่บอกอะไรตูเลยว่าเลี้ยวซ้ายไปก็เจอปราสาทตาพรหมแล้ว T_T

มาดูภาพกันครับว่าเส้นทางการปั่นหลังจากนี้ของผมและแม่จะเป็นยังไง โดยเส้นทางที่ผมปั่นไปนั้น เรียกว่าเส้นทาง Grand Tour ครับ กล่าวคือ เส้นทางนี้จะเป็นเส้นทางที่นำไปเจอปราสาทในเขตนครวัด นครธมทั้งหมดเลยครับ ซึ่งถ้าเราเดินไหวก็จะคุ้มครับ เพราะแต่ละปราสาทก็มีลักษณะที่แตกต่างกันออกไป มีวิวสวยๆเยอะครับ หากนั่งรถยนต์หรือตุ๊กๆมาก็สบายครับ แต่ถ้าปั่นจักรยานนี่เหนื่อยแทบเป็นลม 555


เส้นทางจริงที่ควรจะไป แค่ 6 กิโลเมตรเอง

และนี่คือเส้นทางที่เราปั่นกันครับ เป็นระยะทางกว่า 20 กิโลเมตรจากสามแยกแรกที่เราเลี้ยวมา
เราตัดสินใจปั่นต่อไปหลังจากที่รู้ว่าหลงทางแล้ว เพราะคิดว่าไหนๆก็มาแล้ว ก็ปั่นให้มันสุดไปเลย 
ออกมานอกเมืองเส้นทางแย่ลงอย่างเห็นได้ชัด ถนนแคบลง รถทัวร์ รถตุ๊กๆก็เยอะ ปั่นไปก็ระแวงหลังไปครับงานนี้

ตรงนี้เป็นปราสาทที่เราผ่านและแวะเข้าไปดูครับ ปราสาทแม่บุญตะวันออก Eastern Mebon



ปั่นเรื่อยๆจนมาถึงปราสาทนาคพัน (Neak Pean) แต่ไม่ได้เข้าไปดูครับ
ปั่นเลยมาหน่อยก็เจอสะพานนี้พอดีเลยแวะถ่ายรูปซะหน่อย

อารมณ์ตอนนี้คือ เหนื่อย เหนื่อย และ เหนื่อยครับ 


พอปั่นมาได้จนเกือบเที่ยงผมกับแม่จึงแวะกินข้าวที่ร้านริมทาง ตรงข้ามปราสาทพระกาฬครับ (Preah Khan Temple) และก็ได้รู้ซึ้งถึงความแพงของอาหารและน้ำที่นี่ ในเมนูก็จะมีอาหารจำพวกข้าวผัดต่างๆ ผัดมาม่า จานละ 2.5 ดอลล่าครับ น้ำโค้กกระป๋องละ 1 ดอลล่า ไม่กินก็ไม่ได้หิว ก็จัดเลยครับ อาหารก็พอใช้ได้ครับรสชาติกลางๆ 

นอกจากน้ำเย็นๆแล้วยังมีน้ำมะพร้าวสดๆขายอีกด้วย ฝั่งตรงข้ามนั่นคือปราสาทพระกาฬครับ

จักรยานของผมเอง ส่วนจักรยานไฟฟ้านั่นของฝรั่งโต๊ะข้างๆ เห็นแล้วน่าจะสบายดี เหนื่อยก็บิดคันเร่งเอา

พอมาถึงตรงนี้ขาผมเริ่มตึงๆละ เพราะไม่เคยปั่นจักรยานไกลขนาดนี้มาก่อนหลายปีแล้วครับ 555 อาศัยพลังอะดรีนาลีนล้วนๆครับ ซึ่งตอนนี้พอนั่งพักมันเริ่มหมดแฮะ ลุกขึ้นยืนนี่ขาสั่นเลย ก็เลยไปเดินยืดเส้นที่ปราสาทพระกาฬเอา แต่เดินไปแค่หน้าประตูแค่นั้นแหละครับ เหนื่อย

ทางเข้าปราสาทร่มรื่นดีครับ มีไก่ด้วย

เพิ่มคำอธิบายภาพ

รูปแกะสลักต่างๆค่อนข้างทรุดโทรมครับ

สภาพป่ายังอุดมสมบูรณ์มาก ถ้ามองแค่นี้ผมนึกว่าอยู่กลางป่าดงดิบเลยนะเนี่ย

มาถึงแค่นี้พอ เดินไม่ไหวละครับ กลับไปปั่นจักรยานต่อดีกว่า

ปั่นต่อมาเรื่อย ไม่นานก็มาถึงประตูนครธมทางทิศเหนือ ก็จอดถ่ายรูปนิดหน่อยครับ แสงกำลังสวยเลย มีนักท่องเที่ยวจอดรถถ่ายแถวนี้เยอะมาก ที่สำคัญคือประตูเหล่านี้ยังถูกใช้งานอยู่ทุกวันครับ ได้บรรยากาศมากๆ บางทีก็มีชาวบ้านต้อนวัวผ่านมาด้วย


ยานพาหนะสุดฮิตในกัมพูชา โมโต นั่นเอง

ชาวกัมพูชาเจ้าถิ่นปั่นจักรยานผ่านมาพอดี เลยขอถอดรูปหน่อยละกันครับ ที่นี่คำว่าถ่ายรูป เขาใช้คำว่าถอดรูปครับ

แม่ผู้เขียนเอง

และผู้เขียนเอง เหนื่อยขนาดไหนก็ต้องทำเป็นสดชื่นครับ ไม่งั้นเอามาดูมันจะไม่สดใส 55

พอปั่นเข้ามาในนครธม พอถึงลานชนช้าง จะเจอสามแยกตรงนี้ก็เลี้ยวซ้ายเพื่อไปยังปราสาทตาพรหมครับ ปั่นไปเรื่อยๆก็จะเจอกับประตูชัย (Victory Gate) ตรงนี้ผมเห็นแสงสวยดี ก็เลยจอดถ่ายรูปซะนานเลย เสียเวลาไปอีกเกือบครึ่งชั่วโมง แต่ตามที่กะไว้ยังไงก็ไปถึงปราสาทตาพรหมทันแน่นอน ตามใจฉันทัวร์จริงๆเลย




ถ่ายจักรยานคู่ชีพซะหน่อย



ลองถ่ายรูปออกมาแบบขาวดำดูก็ได้อารมณ์ไปอีกแบบ

แสงตอนบ่ายช่วยเสริมให้บรรยากาศดูมีมนต์ขลังมากขึ้น

ดเก
พอปั่นมาถึงทำเอารองเท้าผมพังไปข้างหนึ่งเลยครับ อยู่ด้วยกันมาตั้งนาน

กว่าจะมาถึง พลังแทบหมด

มาถึงแล้วว้อยยย

ก่อนถึงตัวปราสาทจะมีแผนผังและมุมมหาชนให้เราดูครับ ดูไว้ก่อนก็ดีครับ เข้าไปเดี๋ยวงงว่าไม่รู้จะถ่ายมุมไหน

มุมนี้ผมชอบมาก เป็นวงมโหรีย์ ค่อยบรรเลงเพลงสร้างบรรยากาศ ใครชอบก็อุดหนุนแผ่นซีดีของเค้าได้ครับ
                                        
เพลงก็ประมาณนี้ครับ ฟังเพลินๆดี

ทางเดินเข้าสู่ตัวปราสาท ต้นไม้ใหญ่ๆเยอะมากครับ 
สำหรับตัวปราสาทตาพรหมนั้น จัดว่าอยู่ในขั้นทรุดโทรมกว่าปราสาทหลังอื่นๆเลยครับ เพราะว่าในช่วงที่มีการเปลี่ยนการนับถือศาสนาในกัมพูชาจากศาสนาพุทธเป็นศาสนาฮินดู ได้มีการเข้ามาทุบทำลายรูปสลักและรูปปั้นต่างๆจนเกือบหมดสิ้น ที่นี่จึงไม่ค่อยมีภาพแกะสลักลงเหลืออยู่ซักเท่าไหร่ และด้วยกาลเวลาที่ผ่านไป ทำไมมีต้นไม้งอกและเติบโตขึ้นมาบนตัวปราสาท ซึ่งทางรัฐบาลกัมพูชานั้นต้องการจะอนุรักษ์ปราสาทไว้พร้อมๆกับต้นไม้ ซึ่งก็ต้องใช้กรรมวิธีต่างๆที่จะรักษาสภาพตัวปราสาทให้อยู่ในสภาพเดิมให้นานที่สุด ซึ่งก็ไม่รู้ว่าวันไหนที่จะต้องตัดต้นไม้ถึง ใครที่ยังไม่เคยไปควรไปดูนะครับ คุณจะพบกับความมหัศจรรย์และปนความลึกลับของปราสาทแห่งนี้ครับ ซึ่งเป็นเอกลักษณ์จนได้เป็นฉากหนึ่งในภาพยนต์ Tomb Raider ที่นำแสดงโดยแองเจลิน่า โจลีย์ครับ 



                      



จากภาพจะเห็นว่าเริ่มมีบางส่วนของปราสาทเริ่มพังลงมาแล้ว เพราะรับน้ำหนักของต้นไม้ไม่ไหวครับ

มุมมหาชนอีกมุมหนึ่งครับ เมื่ออารยธรรมมนุษย์หายไป ธรรมชาติก็เข้ามายึดครองตามเดิม

รอบๆบริเวณยังคงมีกองหินทรายวางทิ้งอยู่ทั่วไป

ดูอะไรกัน?

ตอนนี้ก็ประมาณบ่ายสามโมงกว่าๆแล้วครับ นักท่องเที่ยวยังคงหน้าตาเหมือนดิม

เริ่มมีคณะทัวร์เข้ามาบ้างแล้ว คงจะมาที่นี่ตามโปรแกรมทัวร์สุดท้าย

เริมมีการบูรณะปราสาทแล้วครับ จากภาพคงเป็นการลงเสาเข็มให้ตัวปราสาทรอบๆครับ

สภาพตอนนี้คือหมดพลังงานไปเรียบร้อยแล้วครับ 

ถ่ายไปทางไหนก็เจอแต่คน

ทางเดินในตัวปราสาทแคบมากครับ บางส่วนก็ถล่มลงมา น่าตื่นเต้นดี


เพื่อป้องกันตัวปราสาทพังจากน้ำหนักของต้นไม้ จึงมีการนำเหล็กมารับน้ำหนักต้นไม้แทนครับ

รอจังหวะไม่มีคนอยู่นาน 

รอจังหวะไม่มีคนอยู่นาน 


ใครอยากไหว้พระหรือทำบุญก็มีธูปเทียนบริการครับ

แล้วก็มาถึงไฮไลท์ของตัวปราสาทตาพรหมครับ ตรงจุดที่ใช้เป็นฉากถ่ายภาพยนต์เรื่อง Tomb Raider นั่นเอง


 แอบงงนิดหน่อย เพราะมันไม่ค่อยเหมือนกับในหนัง ของจริงมีการกั้นเชือกกับปูพื้นทางเดิน เลยไม่ค่อยได้ฟีลเลย แอบเสียใจนิดนึง
รากไม้ที่ขึ้นคลุมตัวปราสาทให้ความรู้สึกลึกลับ

ภาพแกะสลักนางอัปสราที่รอดจากการทุบทำลายมีให้เห็นอยู่ตามผนังทั่วไป

ตรงจุดนี้ต้องต่อคิวถ่ายภาพนะครับ คนมารอเยอะมากๆ



แม่ผมหมดแรงไปแล้ว นั่งซึมเลย

ตอนผมออกมา สวนกลับทัวร์กลุ่มใหญ่เลย เสียงดังมาก

ยังมีเดินเข้ามาเรื่อยๆ


        แล้วก็มาถึงที่สุดท้ายที่เราจะเข้าชมกัน คือปราสาทบายน (Bayon Temple) เป็นปราสาทหินของอาณาจักรเขมร อยู่ในบริเวณของใจกลางนครธม สร้างขึ้นเป็นวัดประจำสมัยของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ก่อสร้างในราวปี พ.ศ. 1724-พ.ศ. 1763 หลังจากที่พระเจ้าชัยวรมันที่ 7ทรงได้ชัยชนะจากการขับไล่กองทัพอาณาจักรจามปา นับเป็นศาสนสถานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก มีความซับซ้อนทั้งในแง่โครงสร้างและความหมาย เนื่องจากผ่านความเปลี่ยนแปลงด้านศาสนาและความเชื่อมาตั้งแต่คราวนับถือเทพเจ้าฮินดู และพุทธศาสนา อาคารมีลักษณะพิเศษ เนื่องจากส่วนของหอเป็นรูปหน้าหันสี่ทิศ จำนวน 49 หอ ปัจจุบันคงเหลือเพียง 37 หอ ลักษณะโดยทั่วไปจะมี 4 หน้า 4 ทิศ แต่บางหออาจมี 3 หรือ 2 แต่บริเวณศูนย์กลางของกลุ่มอาคาร จะมีหลายหน้า ซึ่งนักท่องเที่ยวมักจะพยายามนับว่ามีกี่หน้า

ทางเข้าตัวปราสาท พร้อมพนักงานตรวจตั๋วที่แอ็คท่าให้เราถ่ายรูป ก่อนจะทักเราว่าคนไทยรึเปล่า รู้ด้วยว่าเป็นคนไทยแฮะ

ที่มี่ไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยวมากเท่าไหร่ คงเป็นเพราะพวกทัวร์มาลงกันตั้งแต่เช้าแล้วก็เป็นได้

รูปแกะสลักใบหน้าที่เป็นเอกลักษณ์ของปราสาทบายน พร้อมด้วรอยยิ้มที่ว่ากันว่าเป็นรอยยิ้มที่ลึกลับ

สำหรับสเน่ห์ของการถ่ายภาพปราสาทหินเหล่านี้คือเพียงแต่ช่วงเวลาเปลี่ยนแสงเปลี่ยน ภาพที่ได้ก็ดูแปลกตาไปอีกแบบไม่ซ้ำกันเลย ถ่ายตอนเช้าจะเป็นอีกอารมณ์หนึ่ง ตอนบ่ายแสงส่องมาอีกด้านก็กลายเป็นอารมณ์อีกแบบหนึ่ง










บันไดขึ้นลงของปราสาทบายนค่อนข้างจะสูงและชัน ควรขึ้นด้วยความระมัดระวังครับ

แสงสุดท้ายที่กำลังอาบปราสาทบายนทำผมรีบจอดจักรยานแล้วหยิบกล้องออกมาถ่าย
พร้อมๆกับแบ็ตกล้องเฮือกสุดท้ายที่หมดลง โชคดีที่ถ่ายได้ก่อนแบ็ตหมดครับ

       หลังจากนั้นผมและแม่ก็ปั่นจักรยานต่อไปยังด้านหน้าของปราสาทนครวัด ตอนแรกกะว่าจะโทรให้ป้าเผือดเอารถยนต์กะบะมารับเพราะปั่นต่อไม่ไหวแล้ว แต่ปรากฏว่าแกเอารถคันจิ๋วมา ก็เลยได้ปั่นกลับไปร้านจักรยานในเมืองคืน เล่นเอาหน้ามืดไปเลย รวมๆแล้วระยะทางไปกลับที่ผมปั่นก็เกือบๆ 44 กิโลเมตรครับ พอนั่งรถกลับแค่ลงรถเท่านั้นแหละ ปวดขาแทบเดินไม่ได้เลย นั่งกินข้าวก็ปวดเลยรีบอาบน้ำกินยานวดยาแล้วก็นอน เช้ามาก็ขึ้นรถมาลงที่ด่านโอเสม็ดข้ามฝั่งกลับไทยเลย ดีนะเนี่ยเอาทริปปั่นจักรยานไว้วันสุดท้ายไม่งั้นนี่ปวดจนไปไหนไม่ได้แน่ๆ 55555 ไว้ทริปหน้าจะมารีวิวใหม่ครับ ได้ไปอีกผมก็คงเอาจักรยานไปปั่นอีก ไม่เข็ดครับ 

--------------------------------------------------------