วันอาทิตย์ที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2557

ประเพณีขึ้นเขาพนมรุ้งและขบวนเสด็จของพระนางภูปตินทรลักษมีเทวี

ขบวนเสด็จของพระนางภูปตินทรลักษมีเทวีในประเพณีขึ้นเขาพนมรุ้ง




             ในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 5 ของทุกปี ประชาชนชาวจังหวัดบุรีรัมย์ และจังหวัดใกล้เคียงเป็นจำนวนมาก นิยมเดินทางมาร่วมในประเพณีขึ้นเขาพนมรุ้ง ดินแดนแห่งความศักดิ์สิทธิ์ สถานที่ตั้งปราสาทพนมรุ้ง ที่สถิตขององค์พระศิวะมหาเทพ ในลัทธิไศวนิกาย และเหล่าทวยเทพ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งมวลที่ ปกปักษ์รักษาศาสนสถานแห่งนี้ 


          ท่านพระโอภาสธรรมญาณ ได้เป็นผู้กำหนดให้มีงานบุญประเพณีขึ้นเขาพนมรุ้งตั้งแต่ ปีพุทธศักราช 2481 และในปี พ.ศ. 2534 จังหวัดบุรีรัมย์ ได้ร่วมกับกรมศิลปากรและการท่องเที่ยว แห่งประเทศไทย ได้จัดประเพณีขึ้นเขาพนมรุ้งสืบทอดงานประเพณีเดิมให้มีความยิ่งใหญ่ตระการตา เพื่อพัฒนาและส่งเสริมการท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมจังหวัดบุรีรัมย์ โดยนำข้อสันนิษฐานเกี่ยวกับกษัตริย์ ผู้สร้างปราสาทพนมรุ้งมาเรียงร้อยเป็นเรื่องราวจำลองภาพขบวนเสด็จของพระนางภูปตินทรลักษมีเทวี ซึ่งเดินทางมาจากเมืองพระนครหลวง (ประเทศกัมพูชา) มายังเทวาลัยพนมรุ้ง ซึ่งนอกจากข้าทาสบริวารผู้ติดตามขบวนขบวนมาด้วย เพื่อถวายเทวสักการะแด่เทพเจ้าผู้พิทักษ์ทั้งสิบแห่งจักรวาล และ พระนางภูปตินทรลักษมีเทวี ผู้เป็นพระมารดาให้จัดหาพาะและวัวนมอีกอย่างละ 100 ตัว เพื่อถวายแด่ มหาฤๅษีนเรนทราทิตย์ 

นอกจากนี้ยังมีขบวนแห่เทพพาหนะทั้ง 10 ทิศ ประกอบด้วย

ขบวนที่ 1 หงส์ พาหนะของพระพรหม เป็นเทพเจ้าประจำทิศเบื้องบน
ขบวนที่ 2 ช้าง พาหนะของพระอินทร์ เป็นเทพเจ้าประจำทิศตะวันออก
ขบวนที่ 3 วัว พาหนะของพระอิสาน เป็นเทพเจ้าประจำทิศตะวันอกเฉียงเหนือ
ขบวนที่ 4 แรด พาหนะของพระอัคนี เป็นเทพเจ้าประจำทิศตะวันออกเฉียงใต้
ขบวนที่ 5 คชสีห์ พาหนะของพระกุเวร เป็นเทพเจ้าประจำทิศเหนือ
ขบวนที่ 6 นกยูง พาหนะของพระขันธกุมาร เป็นเทพเจ้าประจำทิศใต้
ขบวนที่ 7 นาค พาหนะของพระวิรุณ เป็นเทพเจ้าประจำทิศตะวันตก
ขบวนที่ 8 ม้า พาหนะของพระพาย เป็นเทพเจ้าประจำทิศตะวันตกเฉียงเหนือ
ขบวนที่ 9 รากษส พาหนะของพระนิรฤติ เป็นเทพเจ้าประจำทิศตะวันตกเฉียงใต้
ขบวนที่ 10 กระบือ พาหนะของพระยม เป็นเทพเจ้าประจำทิศเบื้องล่าง

พราหมณ์ผู้ทำหน้าที่เป่าสังฆ์ใช้ผู้ที่เป็นพราหมณ์จริงๆมาทำการแสดง

ขบวนแห่เทพเจ้าประจำทิศทั้ง 10 ขบวนเรียงตามลำดับ โดยในแต่ละขบวนมีข้าทาส บริวารหญิง ชาย จำนวนมากมาย ร่วมในขบวนแห่เพื่ออัญเชิญเครื่องบูชาสักการะเทพเจ้าแต่ละทิศ ผู้ร่วมขบวนแห่แต่งกายด้วยชุดพื้นเมืองที่ดูละม้ายคล้ายกับที่ปรากฏอยู่ในภาพจำหลักที่ปราสาทพนมรุ้ง เป็นภาพที่งดงามด้วยสีสันตระการตายิ่ง เพียบพร้อมและอุดมสมบูรณ์ด้วยเครื่องราชสักการะบูชาครบถ้วน 

ขบวนสัตว์พาหนะ หงส์

ขบวนสัตว์พาหนะ หงส์

ขบวนสัตว์พาหนะ ช้าง

ขบวนสัตว์พาหนะ โค


ขบวนสัตว์พาหนะ คชสี

ขบวนสัตว์พาหนะ นกยูง

ขบวนสัตว์พาหนะ นาค

ขบวนสัตว์พาหนะ ม้า

ขบวนสัตว์พาหนะ รากษส

ขบวนสัตว์พาหนะ กระบือ
ถัดจากขบวนเทพพาหนะ ทั้ง 10 ขบวน เป็นขบวนเสด็จของพระนางภูปตินทรลักษมีเทวี เคลื่อนขบวนมาโดยราชยาน พร้อมด้วยนางจริยา นางสนองพระโอษฐ์ ราชยาน ซึ่งมีชายฉกรรจ์ล่ำสันแบกหามเคลื่อนไปอย่างช้า ๆ งดงามด้วยริ้วธงทิวประจำขบวน พร้อมเหล่าเครื่องประดับยศพริ้วไสวมีความอลังการดุจกาลเวลาในอดีตที่เทวาลัยพนมรุ้งมีความเจริญรุ่งเรืองสูงสุดคลาคล่ำไปด้วยผู้ศรัทธาในองค์พระศิวะมหาเทพ ซึ่งได้รับความนับถือสูงสุดในศาสนฮินดู ลัทธิไศวนิกาย แห่งปราสาทพนมรุ้ง จังหวัดบุรีรัมย์



เสียงเป่าเขาสัตว์ดังก้องกังวานไปทั่วขุนเขา ท่ามกลางความเงียบสงบบนดินแดนแห่งความศักดิ์สิทธิ์ ขบวนเทพพาหนะทั้ง 10 ซึ่งประดิษฐ์ตกแต่งอย่างสวยงามต่างเคลื่อนเข้าสู่ทางเดินระหว่างช่องเสานางเรียง ตลอดทางจนถึงบันไดนาคราช ระหว่างทางที่ขบวนเสด็จผ่าน มีหญิงสาวยืนโปรยดอกไม้ เพื่อต้อนรับขบวนเสด็จของพระนางภูปตินธรลักษมีเทวี

ขบวนนางกำนัลที่ทำหน้าทำนำขบวนของพระนางภูปตินธรลักษมีเทวี


พระนางภูปตินธรลักษมีเทวีซึ่งมีการคัดเลือกหญิงสาวจากอำเภอต่างๆ
ในจังหวัดบุรีรัมย์มาทำการแสดง
อำไพ คำโท (2527 : 93, 95) ได้กล่าวไว้ในหนังสือสมบัติอีสานใต้ ครั้งที่ 3 ในเรื่อง ศิลาจารึกภาษาขอม ปราสาทหินเขาพนมรุ้ง โดยได้กล่าวถึง ศิลาจารึกปราสาทพนมรุ้ง จังหวัดบุรีรัมย์. จารึกด้วยภาษาสันสกฤต ปรากฏอยู่ด้านที่ 1 บทที่ 8 บรรทัดที่ 15-16 มีข้อความในศิลาจารึก และคำแปลที่กล่าวถึงพระนางภูปตินทรลักษมีเทวี ดังต่อไปนี้ 

บทที่ 8 
(บรรทัดที่ 15) ภูภฺฤทฺภวานฺยภวา ภุวิ ภูปตนฺทฺรลกษฺมีรฺ วภูว ภูวนภิมตา ภวฺานี 
(บรรทัดที่ 16) ศฺรีสูรฺยยปิตฺรนุภาวา จตุรนฺ นเรนฺทฺรา ทิตฺยาภิทํ (ต) มฺ อสุฤชชฺ ชคทินฺทุวิมฺวมฺ 

คำแปลบทที่ 8
ภูปตนทรลักษมี ถือกำเนิดในราชสกุลวงศ์ นางได้รับความนับถือจากบุคคลทั้งหลายว่าเป็นอวตาร (ภวานี) เป็นผู้ประกอบด้วยคุณลักษณะแห่งพระบิดา คือ พระเจ้าสูรย (วรมัน) นางได้ให้กำเนิดแก่ นเรนทราทิตย์ ผู้คล่องแคล่ว และเปรียบเสมือนดวงจันทร์ สำหรับผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่ 

หลักฐานข้อมูลทางประวัติศาสตร์ ที่ปรากฏในศิลาจารึกปราสาทพนมรุ้ง ได้มีการศึกษาโดยนักวิชาการผู้เชี่ยวชาญด้านประวัติศาสตร์ โบราณคดี หลายท่าน อาทิ ศาสตราจารย์ ยอร์ช เซเดย์, สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี, ศาสตราจารย์หม่อมเจ้าสุภัทรดิศ ดิศกุล, ศาสตาจารย์มานิตย์ วัลลิโภดม, รศ.ดร.ม.ร.ว.สุริยวุฒิ สุขสวัสดิ์, คุณอำไพ คำโท เป็นต้น 

หลักฐานที่ปรากฏในศิลาจารึก ปราสาทพนมรุ้ง จังหวัดบุรีรัมย์ ได้กล่าวแสดงถึงผู้สืบเชื้อสายราชวงศ์กษัตริย์ ผู้ครองราชย์เมืองพระนคร (ในประเทศกัมพูชา ปัจจุบัน) มีความสัมพันธ์กับองค์นเรนทราทิตย์ ผู้ทรงสละความเป็นราชตระกูลมาบำเพ็ญพรตเป็นโยคี ณ เขาพนมรุ้ง บทที่ 8 บรรทัดที่ 15-16 ระบุให้สันนิษฐานได้ว่า 

พระนางภูปตินทรลักษมีเทวี เป็นพระธิดาของกษัตริย์สูรยาวรมันที่ 2 ซึ่งครองราชย์ที่เมือง พระนคร ในระหว่างปี พ.ศ. 1655-1695 และ องค์นเรนทราทิตย์ เป็นพระโอรสขงพระนางภูปตินทรลักษมีเทวี ซึ่งต่อมาองค์นเรนทราทิตย์ ได้ทรงสละความเป็นราชตระกูลมาบำเพ็ญพรตเป็นโยคี โดยมีพระโอรสองค์หนึ่ง คือ เจ้าชายหิรัณยะ ซึ่งมีหลักฐานทางประวัติศาสตร์สันนิษฐานว่าเจ้าชายหิรัณยะ คือ ผู้สร้างศิลาจารึกปราสาทพนมรุ้ง หลักที่ 120 

อำไพ คำโท ได้กล่าวถึง ศิลาจารึกปราสาทพนมรุ้งด้านที่ 4 บทที่ 27 บรรทัดที่ 6-8 มีข้อความในศิลาจารึก และคำแปลที่กล่าวถึง องค์นเรนทราทิตย์ และหิรัณยะ ดังต่อไปนี้ 

บทที่ 28 
(บรรทัดที่ 5) ( ศิ ) ษฺยสฺ สุตศฺ จ สุปิตุสฺ สุคุโรรฺ นเรนฺทฺรา 
(บรรทัดที่ 6) ทิตฺยสย โส ยมฺ อุทิโต วรุณารุกกว 
(บรรทัดที่ 7) วิงฺศตยตีตวยสา สเมติษฺฐิปตฺ ตทฺ 
(บรรทัดที่ 8) หิรณฺยชนกํ ส หิรณยนามา 

คำแปลบทที่ 28 
ศิษย์และบุตรของนเรนทราทิตย์ ผู้เป็นบิดาที่ที่และอาจารย์ที่ดี เขาได้ถือกำเนิดมาดั่งดวงอาทิตย์ จากมหาสมุทร... และเมื่อเขาอายุพ้น 20 ปี เขาก็ได้ให้ช่างสร้างประติมากรรมรูปอันนี้เป็นรูปแห่งบิดาของเขา หล่อขึ้นด้วยทอง เขาผู้นี้นามว่า หิรัณยะ 

จากหลักฐานที่ปรากฏในศิลาจารึกพนมรุ้ง ทำให้เป็นข้อมูลสันนิษฐานได้ว่า เจ้าชายหิรัณญะ ผู้สืบสายราชวงศ์ มหิธรปุระ เป็นกษัตริย์ผู้ทรงสร้างอาณาจักรที่เคยมีความเจริญรุ่งเรืองในอดีตนับพันปีในอาณาจักร หรือแคว้นอันเป็นที่ตั้งของปราสาทหินเขาพนมรุ้ง ปราสาทหินเมืองต่ำ ซึ่งปัจจุบันได้กลายเป็นดินแดนอันสงบสุขที่มีความโดดเด่น งดงามสูงส่งทางวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ และโบราณคดี มอบไว้เป็นมรดกอันล้ำค่าให้รุ่นลูกรุ่นหลานชาวจังหวัดบุรีรัมย์ ซึ่งมีกลุ่มชนที่อาศัยอยู่อย่างต่อเนื่องมาโดยตลอดในดินแดนที่เคยปกครองโดยกษัตริย์ราชวงศ์มหิธรปุระแห่งเมืองพนมรุ้ง

ผู้แสดงเป็นนางอัปสราทำการรำถวายให้กับสิ่งศักดิ์สิทธิในปราสาทหินพนมรุ้ง


นางอัปสราและแสงแดดยามเย็นที่ตกกระทบตัวปราสาทหินพนมรุ้ง
สร้างความรู้สึกลึกลับเหมือนกับว่าหลุดไปอยู่อีกยุคหนึ่งเลยทีเดียว